สารคดีเป็นงานเขียนที่มีมานานแล้วในประเทศไทย แต่นิยมเขียนไว้ในรูปของ พงศาวดาร
ตำนาน ตำรา หนังสือสอนศาสนา จดหมายเหตุ
ประกาศของทางราชการ ฯลฯ
การเขียนสารคดีของไทยเริ่มมีรูปแบบที่ชัดเจนในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพราะได้มีการติดต่อกับประเทศทางตะวันตก
๑.
ความหมายของสารคดี
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พุทธศักราช ๒๕๔๒
อธิบายความหมายของสารคดีว่า หมายถึง “ เรื่องที่เขียนขึ้นจากเค้าความจริง
มิใช่เรื่องที่เกิดจากจินตนาการ“
งานเขียนสารคดีจึงเป็นข้อเขียนที่ผู้เขียนต้องการจะให้สาระ
ความรู้ ความคิด
โดยไม่ใช้จินตนาการและอารมณ์ผสมผสานลงไป
แต่จะต้องใช้ภาษาสำนวนที่มีศิลปะ
คมคาย
เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
ด้วยเหตุที่
สารคดีเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นจากความเป็นจริง ทำให้เนื้อหาของสารคดีเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง
ๆ ได้แก่ บุคคล
ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์
การเดินทางท่องเที่ยว การอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แนะนำกิจกรรมต่าง ๆ สถานสำคัญในแต่ละท้องถิ่น
๒.
ประเภทของสารคดี
สารคดีแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้
๒.๑ สารคดีบุคคล
เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตที่น่าสนใจของบุคคลทั่วไปในแง่มุมต่าง ๆ
๒.๒ สารคดีโอกาสพิเศษ เป็นเรื่องที่เขียนตามเทศกาลสำคัญต่าง ๆ
ของแต่ละชาติ เช่น วันสุนทรภู่ วันวิสาขบูชา
๒.๓ สารคดีประวัติศาสตร์
เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่นำมาเขียนขึ้นเพื่อย้ำเตือนจิตสำนึกของอนุชนรุ่นหลัง หรือให้เห็นความสำคัญ เช่น
สงครามยุทธหัตถี
การสร้างกรุงเทพมหานคร
๒.๔ สารคดีท่องเที่ยว
เป็นการนำเรื่องราวที่พบเห็นจากการท่องเที่ยวมาเขียนถึงในแง่มุมต่าง ๆ
ตามทัศนะของตน
๒.๕ สารคดีแนะนำวิธีทำ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสดงขั้นตอนการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เช่นการทำอาหาร การผลิตธนบัตร
๒.๖ สารคดีเด็ก
เขียนถึงเรื่องราวของเด็กในแง่มุมต่างๆ เช่น การเลี้ยงดู
การใช้แรงงานเด็ก
๒.๗ สารคดีสตรี
เขียนถึงสตรีในแง่มุมต่าง ๆ
๒.๘ สารคดีเกี่ยวกับสัตว์
เขียนถึงสัตว์ในแง่ของการให้ความรู้ที่เป็นสาระ
๒.๙ สารคดีความทรงจำ เป็นเรื่องราวของความทรงจำในอดีตที่เล่าให้ผู้อื่นเขียน หรือเขียนเอง
เช่น การละเล่นสมัยก่อน การอพยพหนีสงคราม
๒.๑๐ สารคดีจดหมายเหตุ
เป็นการบันทึกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์
๓.
หลักการเขียนสารคดี
การเขียนสารคดีมีหลักในการเขียน ดังนี้
๓.๑ การเลือกเรื่อง เรื่องที่นำมาเขียนเป็นสารคดี จะต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจ หรือทันสมัย
หากเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป
หรือเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต
ก็ควรนำเสนอให้น่าสนใจด้วยมุมมองที่แปลกใหม่ มีประโยชน์แก่ผู้อ่าน และมุ่งนำเสนอข้อเขียนที่เป็นความรู้ ความคิดจากเรื่องจริง เหตุการณ์จริง
และจะต้องเขียนให้อ่านเพลิดเพลิน
มีอรรถรส
๓.๒ การตั้งชื่อเรื่อง ควรตั้งชื่อเรื่องให้ผู้อ่านเกิดความสนใจ สะดุดหู
สะดุดตา
ควรเป็นชื่อที่เข้ายุคเข้าสมัยในปัจจุบัน
ควรหาคำที่มีความหมายกว้าง ๆ
เพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหา
แต่ชื่อเรื่องต้องตรงกับเนื้อหาด้วย
แนวทางการตั้งชื่อเรื่อง
- แบบชี้นำเนื้อหา
โดยการนำความสำคัญของเนื้อหามาสรุปเป็นความคิดรวบยอดเช่น ครูไทย...ภารกิจที่ไม่มีวันเสร็จสิ้น, ยาบ้ามหาภัย
-
แบบสำบัดสำนวน นำสำนวนแปลก ๆมาใช้
เช่น แสนแสบแสบสยิว สยึ๋มกึ๋ย
- แบบคนคุ้นเคย เหมือนผู้เขียนคุ้นเคยกับผู้อ่าน เช่น
มาช่วยกันป้องกันเหตุร้ายกันเถอะ
การอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านจัดสรร
- แบบคำถาม
เช่น
จริงหรือที่เขาว่าหัวหินสิ้นมนต์ขลัง
-
แบบชวนฉงน เช่น ตายแล้วฟื้น, ตายแล้วไป....
๓.๓ กำหนดจุดมุ่งหมายและแนวคิดสำคัญ
การกำหนดจุดมุ่งหมายอาจตั้งคำถามว่าต้องการเขียนให้ใครอ่าน
ต้องการให้ผู้อ่านคิด/ ทำอย่างไร
ผู้เขียนต้องกำหนดแนวคิดให้ชัดเจนว่า
สารคดีเรื่องนี้ต้องการจะเสนอแนวคิดสำคัญอะไร มีแก่นเรื่องอะไรนำเสนอแก่ผู้อ่าน เพื่อจะได้นำเสนอเนื้อหาถ่ายทอดถ้อยคำหรือประโยคต่าง
ๆ เพื่อมุ่งสู่แก่นเรื่องนั้น
๓.๔ การหาข้อมูล
แหล่งความรู้ที่ใช้ประกอบการเขียนสารคดี
ได้แก่ หนังสือ สารานุกรม
นิตยสาร วารสาร วิทยุ
โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต การสัมภาษณ์
การสนทนา และการเก็บข้อมูลภาคสนาม เป็นต้น
๓.๕ การวางโครงเรื่อง ผู้เขียนต้องวางโครงเรื่องก่อนเขียน เพื่อเป็นแนวทางในการเขียน ว่าจะนำเสนอสาระสำคัญ แยกเป็นกี่ประเด็น ประเด็นใหญ่ ๆ มีอะไรบ้าง ในประเด็นหลักมีประเด็นย่อย ๆ มีตัวอย่าง
มีเหตุผล
เพื่อสนับสนุนประเด็นหลักอย่างไรบ้าง
การวางโครงเรื่องจะช่วยให้เขียนเรื่องได้โดยง่าย ไม่สับสน
วกวน นอกเรื่อง ทำให้เรื่องมีเอกภาพ มีลำดับต่อเนื่องกัน และได้เนื้อความครบถ้วน
๓.๖ การลงมือเขียน
สารคดีมีองค์ประกอบเช่นเดียวกับความเรียงทั่วไป คือ
-
ความนำ / การเปิดเรื่อง
- เนื้อเรื่อง / การดำเนินเรื่อง
- ความลงท้าย / การปิดเรื่อง
๓.๖.๑ ความนำ / การเปิดเรื่อง
เป็นการเปิดเรื่องบอกกล่าวให้ผู้อ่านรู้ก่อนว่าจะเขียนอะไร เพื่อชักจูงให้ผู้อ่านสนใจ การขึ้นความนำอาจทำได้หลายประการ เช่น
-
แบบสรุปเนื้อหาให้ผู้อ่านรู้ว่า
ใคร ทำอะไร ที่ไหน
เมื่อไร ทำไม
-
ขึ้นต้นจากชื่อเรื่องซึ่งเป็นเนื้อหาหลัก
- เรื่องในสังคมที่คนกำลังสนใจ
-
คำพูดของบุคคลสำคัญ
-
เล่าเรื่องลักษณะคล้ายนิทานแล้วโยงเข้าหาเนื้อเรื่อง
-
เหตูการณ์สำคัญในเรื่อง
-
ยกสุภาษิต คำพังเพย กวี
นิพนธ์ คำคม
-
ใช้ประโยคสำคัญ
ที่ปรากฏในเนื้อเรื่องมากล่าว
-
ใช้คำถาม
-
ยกเหตุการณ์เปรียบเทียบ
-
พรรณนา
-
ย้อนอดีต
โยงเข้าสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน
๓.๖.๒ เนื้อเรื่อง
/ การดำเนินเรื่อง
กลวิธีการดำเนินเรื่องของสารคดีอาจเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของผู้เขียน หรือมีการแทรกบทสนทนา หรือบทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง
ผู้เขียนต้องสอดแทรกความคิดเห็นของตนในเนื้อเรื่องด้วย เนื้อเรื่องต้องมีส่วนที่เป็นใจความหลัก
และส่วนขยายความให้เนื้อหาชัดเจนขึ้น
เช่น การเสนอข้อมูลแสดงสถิติ แสดงการเปรียบเทียบ ตัวอย่างประกอบ แต่อย่าให้มากเกินไป
๓.๖.๓ ความลงท้าย / การปิดเรื่อง เป็นส่วนทำให้ผู้อ่านประทับใจ ควรเขียนให้กะทัดรัดจับใจผู้อ่าน โดยการสรุปข้อมูล ข้อคิด แสดงข้อคิดเห็น คำแนะนำ
วิธีแก้ปัญหาของผู้เขียน
อย่างสร้างสรรค์
โน้มน้าวให้เกิดความร่วมมือ
สรุปให้เกิดความตระหนัก
๓.๗ การใช้ภาษา
ควรใช้ภาษาที่ชัดเจน
ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
เพราะจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย หากเป็นการใช้ศัพท์เฉพาะหรือภาถิ่นควรอธิบายความหมายไว้ด้วย นอกจากนี้ควรใช้โวหาร สำนวน
ภาพพจน์ ตลอดจนระดับภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง จะเขียนแบบพรรณนา บรรยาย
อธิบาย หรือ โน้มน้าว ก็ได้
๓.๘ ความยาวของสารคดี ไม่ควรมีความยาวมากเกินไป เพราะสารคดีมีลักษณะเป็นบทเป็นตอน ไม่ใช่ตำราหรือหนังสืออ้างอิง จึงควรมีความยาวในการอ่านประมาณ ๑๕
นาที
๓.๙ การสร้างลีลาการเขียนเฉพาะตัว
แต่ละคนมีลักษณะและลีลาการเขียนที่แตกต่างกัน จะเลือกแบบใดก็ได้
แต่อย่าลืมว่าผู้เขียนได้ดีต้องเป็นนักอ่านที่ดีมาก่อน
แล้วจึงเลือกหาแนวถนัดของตนเองโดยไม่เลียนแบบผู้อื่น
๓.๑๐ ทบทวนและปรับปรุง
เมื่อจบเรื่องควรทบทวนดูสาระของเรื่องว่าตรงกับชื่อเรื่องที่ตั้งไว้หรือไม่ จากนั้นอ่านตรวจทานอีกครั้ง หรือถ้าได้เก็บเรื่องที่เขียนไว้สัก ๒ – ๓ วัน
แล้วนำกลับมาอ่านตรวจอีกครั้งหนึ่ง
ก็จะยิ่งดี
๔.
ภาพประกอบสารคดี
มีคำเปรียบเปรยไว้ว่า ภาพดี ๆ เพียง ๑ ภาพ แทนคำบรรยายได้นับ ๑,๐๐๐
คำ สารคดีจึงต้องมีภาพประกอบ เพื่อให้งานเขียนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ
เรียกร้องความสนใจจากผู้อ่าน
ภาพประกอบสารคดีควรมีลักษณะ
ดังนี้ มีความคมชัด เสริมให้เนื้อหาเด่น ภาพกับเนื้อหาเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นภาพถ่ายจากแหล่งข้อมูลโดยตรง มีมุมถ่ายหลายมุม
ถ้าใช้ภาพเขียนต้องให้ถูกต้องตามความเป็นจริง มีคำบรรยายภาพที่ถูกต้อง ชัดเจน
ภาพถ่ายมีทั้งแนวตั้ง และแนวนอน